ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การล้างแค้นของมิลาน | จอดรถบัสคอลัมน์


จากผลการจับฉลากรอบแบ่งกลุ่มของฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2021/2022 หนึ่งในไฮไลท์ที่น่าจับตามองอยู่ที่กลุ่ม B ซึ่งเราอาจจะมองได้ว่าเป็น กรุ๊ปออฟเดธ อันประกอบไปด้วย แอตเลติโก้ มาดริด, ลิเวอร์พูล, เอฟซี ปอร์โต้ และเอซี มิลาน

หากพูดถึงเอซี มิลาน นี่เป็นการกลับมาเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก อีกครั้งในรอบ 7 ปี หลังจากไม่ได้เข้าแข่งขันในรายการนี้มานาน ซึ่งการที่ห่างหายไปนานทำให้ค่าสัมประสิทธิ์ของทีมตกลงไปมาก จนได้อยู่ในโถ 4 ของการจับฉลากแบ่งสาย และทำให้ไปเจอกับกรุ๊ปออฟเดธ

เมื่อมองไปที่เพื่อนร่วมกลุ่มแล้ว จะมีทีมนึงที่มีเรื่องราวผูกพันธ์กันมาช้านาน นั่นคือ ลิเวอร์พูล สำหรับมิลานกับลิเวอร์พูลแล้ว เป็นสองทีมที่มีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ในฟุตบอลยุโรป โดยทั้งสองทีมได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รวมกันกว่า 13 สมัย (ลิเวอร์พูล 6 สมัย, เอซี มิลาน 7 สมัย) และในอดีตการปะทะกันของสองทีมนี้ในช่วงปี 2005-2007 ก็เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 

เราจะกลับไปย้อนรอยดูประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นกัน

ค่ำคืนที่อิสตันบูล ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกรอบชิงชนะเลิศฤดูกาล 2004/2005

หลังจากที่อังเดร เชฟเชนโก้ วิ่งเข้ามายิงจุดโทษเป็นคนสุดท้ายแล้วติดเซฟเจอร์ซี่ ดูเด็ค ทำให้ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปในฤดูกาล 2004/2005 ได้สำเร็จ และเป็นการคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ของลิเวอร์พูล เป็นปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูลอันลือลั่นที่พลิกนรกจากการตามหลัง 0-3 ในครึ่งแรก กลับมาคว้าแชมป์ได้สำเร็จ 

ท่ามกลางการวิ่งฉลองแชมป์ด้วยความดีใจของผู้เล่นลิเวอร์พูลกับเพลง You’ll Never Walk Alone ที่ดังกึกก้องอิสตันบูลในคืนนั้น มีคนกลุ่มนึงที่ตกอยู่ในภาวะใจสลายและไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากมองย้อนไปในช่วงจบครึ่งแรกพวกเขาได้ประตูขึ้นนำไปแล้วถึง 3-0 และฟอร์มการเล่นที่กดคู่แข่งจนมิด มองยังไงก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้แบบนี้ได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วและเป็นแผลในใจกับให้กับผู้เล่นมิลานในคืนนั้น หลังจากนั้นมีการสัมภาษณ์ผู้เล่นมิลานหลายๆ คน ซึ่งไม่มีใครอยากจะเชื่อและรับไม่ได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้น

ใครจะไปเชื่อว่า 2 ฤดูกาลถัดมา พวกเขาจะมีโอกาสได้แก้แค้นอีกครั้ง ในคืนนี้ที่เอเธนส์พวกเขาจะได้เจอกับลิเวอร์พูลในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกฤดูกาล 2006/2007 

ก่อนเริ่มฤดูกาล 2006/2007 มิลานภายใต้การคุมทีมของคาร์โล อันเชล็อตติ เสียอังเดร เชฟเชนโก้ กองหน้าคนสำคัญของทีมให้กับเชลซี แต่ระบบทีมและแกนหลักโดยรวมยังคงครบถ้วนทั้ง กาก้า, อันเดรีย ปีร์โล่, เจนนาโร่ กัตตูโซ่ และอเลสซานโดร เนสต้า

เอซี มิลานผ่านรอบ 16 ทีมสุดท้ายมาอย่างหืดจับ จากการเสมอกับกลาสโกว์ เซลติก 0-0 ทั้ง 2 เลก ก่อนที่ในช่วงต่อเวลาพิเศษของเลก 2 จะเป็นกาก้า ที่โซโล่เข้าไปยิงประตูชัยให้เอซี มิลานผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ เข้าไปพบกับบาเยิร์น มิวนิค ที่เพิ่งเขี่ยเรอัล มาดริด ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายมา

ในเกมเลกแรกที่ซานซิโร่ มิลานมาพลาดเสียประตูในช่วงนาทีที่ 94 จากการยิงของดาเนียล ฟาน บุยเต็น ทำให้จบเกมเสมอกันไป 2-2 แต่มิลานเสียเปรียบมากเนื่องจากเสียอเวย์โกลในบ้านถึง 2 ประตู ก่อนที่เลก 2 มิลานจะสู้ยิบตา ด้วยการบุกไปเอาชนะเสือใต้ถึงบ้าน 0-2 จากประตูของคลาเรนซ์ เซดอฟและฟิลิปโป้ อินซากี้

ในรอบรองชนะเลิศ มิลานได้โคจรมาพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พึ่งโชว์ฟอร์มสุดโหดจากการถล่มโรม่า ทีมในกัลโช่ ซีเรีย อา ถึง 7-1 และแมนยูภายใต้การทำทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กำลังมั่นใจมากๆ โดยแนวรุกนำมาโดยเวย์น รูนีย์และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ 

จบเลกแรกเป็นแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เฉือนเอาชนะไปได้ 3-2 จากประตูชัยช่วงท้ายเกมของเวย์น รูนีย์ แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นกับสายตาของแฟนบอลทั่วโลกคือความสามารถของ ริคาร์โด้ กาก้า จอมทัพหน้าหยกของมิลาน โดยเกมนี้กาก้าโชว์ฟอร์มสุดยอด ปั่นป่วนแผงหลังแมนยูอย่างหนักหน่วง และสามารถทำไปได้ 2 ประตู โดยประตูที่ 2 กาก้าเล่นงานกราเบียล ไฮน์เซ่ กับ พาทริซ เอฟร่า จนชนกันล้มกลิ้ง ก่อนยิงผ่าน ฟาน เดอ ซาร์ แบบง่ายดาย

และที่ซาน ซิโร่ ในรอบรองชนะเลิศเลก 2 เป็นการเปิดตำนาน “ผีกาก้า” ที่ในช่วงนั้น เป็นเพลงที่แฟนบอลชาวไทยนิยมเปิดกันเพื่อล้อแมนยูโดยเฉพาะ โดยเพลงแปลงมาจากเพลง “หมีแพนด้า” ในเกมนั้นมิลานเอาชนะแมนยูไปได้ 3-0 แบบขาดลอยจากประตูของเซดอฟ กาก้าและอัลแบร์โต้ จิลาดีโน่ ในที่สุดพวกเขาก็ได้แก้มืออีกครั้ง ในรอบชิงชนะเลิศที่เอเธนส์

คู่แข่งของพวกเขาคือลิเวอร์พูล ทีมที่เคยฝากรอยเจ็บแค้นให้กับพวกเขาเมื่อ 2 ฤดูกาลก่อน โดยลิเวอร์พูลผ่านแชมป์เก่าอย่างบาร์เซโลน่าในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ผ่านพีเอสวีในรอบ 8 ทีม และดวลจุดโทษชนะเชลซีในรอบรองชนะเลิศ

เกมนี้มิลานมาในระบบ 4-4-2 ไดมอนด์ โดยผู้รักษาประตูเป็น ดีด้า แนวรับประกอบด้วย มัสสิโม่ อ็อดโด้, อเลสซานโดร เนสต้า, เปาโล มัลดินี่ และมาเร็ค แยนคูลอฟสกี้ กองกลางประกอบด้วย อันเดรีย ปีรืโล่, มัสซิโม่ อัมโบรซินี่, คลาเรนซ์ เซดอฟ, เจนนาโร่ กัตตูโซ่  กองหน้าตัวต่ำเป็นกาก้า และกองหน้า ฟิลิปโป้ อินซากี้

ส่วนของลิเวอร์พูลมาในระบบ 4-2-3-1 ผู้รักษาประตูเป็นเปเป้ เรน่า กองหลัง สตีฟ ฟินแน่น, เจมี่ คาราเกอร์, ดาเนียล แอ๊กเกอร์, ยอร์น อาร์เน่ รีเซ่ กองกลางตัวรับเป็นฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กับชาบี อลอนโซ่ ตัวรุก 3 ตัวประกอบด้วย เจอร์แมน แพนแนนท์, สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ เบาเดอไวจ์ เซนเด้น โดยมี เดิร์ก เค้าท์ เป็นกองหน้าตัวเป้า

ในเกมนี้ทั้ง 2 ทีมออกสตาร์ทสู้กันได้อย่างสูสี ทางลิเวอร์พูลเองก็เล่นอย่างรัดกุมมากขึ้น เพราะไม่อยากที่จะต้องตกเป็นรอง 0-3 เหมือนเมื่อ 2 ปีก่อน ปาฏิหาริย์ไม่ได้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ส่วนของมิลานก็เล่นอย่างระมัดระวังเช่นกัน จนมาถึงนาทีที่ 45 มิลานได้ฟรีคิกบริเวณหัวกะโหลกและเป็นอันเดรีย ปีร์โล่ที่ยิงฟรีคิกแฉลบฟิลิปโป้ อินซากี้ เข้าไป จบครึ่งแรก มิลานนำ 1-0 และครึ่งหลังนาทีที่ 82 มิลานได้ประตูที่ 2 จากการแทงทะลุช่องของกาก้า ทำให้อินซากี้หลุดไปแตะหลบเปเป้ เรน่า แล้วยิงเข้าไป

 ถ้าเป็นเกมปกติกับคู่แข่งปกติ ทีมที่ขึ้นนำ 2-0 ขณะที่เหลือเวลาอีก 8 นาที คงรู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้น แต่ไม่ใช่กับคู่แข่งอย่างลิเวอร์พูล ที่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เคยยิง 3 ประตูในเวลาแค่ 6 ที จนตีเสมอ 3-3 ได้ ในครั้งนี้ แม้จะนำ 2 ประตู แต่นักเตะมิลานยังคงพยายามเล่นอย่างรัดกุมมากขึ้น จนมาถึงนาทีที่ 89 ลิเวอร์พูลได้ประตูตีตื้นขึ้นมา 2-1 จากลูกโหม่งของเดิร์ก เค้าท์ 

ถึงจุดนี้แฟนบอลมิลานเริ่มนั่งกันไม่ติด พลอยให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในขณะที่แฟนบอลลิเวอร์พูลกลับมาฮึกเหิมอีกครั้งและเชื่อมั่นว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นจริงอีกครั้งในปีนี้ แต่ครั้งนี้นักเตะมิลานจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์นั้นอีกแล้ว พวกเขาพยายามมีสมาธิและงัดทุกตำราในการเล่นเกมรับ เพื่อรับมือคลื่นการบุกโจมตีของลิเวอร์พูลให้ได้

และสิ้นเสียงนกหวีดในนาทีที่ 93 ในที่สุด ความแค้นที่ฝังอกพวกเขามา 2 ปี จากนัดชิงชนะเลิศที่อิสตันบูล วันนี้พวกเขาแก้แค้นได้สำเร็จที่เอเธนส์และคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 7 ของสโมสรได้สำเร็จ โดยในปีนั้น กาก้า ยังสามารถคว้ารางวัลบัลลงดอร์ได้อีกด้วย เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้าสู่ยุคของโรนัลโด้-เมสซี่ 

หลังจากนั้น มิลานได้หลุดวงโคจรของฟุตบอลยุโรปไปนาน จนไม่ได้แข่งยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก มา 7 ปี และวันนี้มิลานได้กลับมาอีกครั้ง โดยคืนนี้พวกเขาจะได้ลงสนามในรอบแบ่งกลุ่มนัดแรก ทีมที่รอต้อนรับการกลับมาของพวกเขาไม่ใช่ใครที่ไหนไกล

ลิเวอร์พูลนี่เอง ..

- - -
ติดตามในช่องทางอื่นได้ที่
Facebook: facebook.com/jodrodbus
Blockdit:  blockdit.com/parkthebus
Blogspot: parkthebusth.blogspot.com

ความคิดเห็น